Wednesday, June 13, 2007

My Fav one






Enjoy

Friday, June 8, 2007

ต่อจากตอนที่แล้ว

"สวัสดีค่ะท่านผู้โดยสารทุกท่าน ขอต้อนรับสู่สายการบิน ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง ในเที่ยวบินที่ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ซึ่งจะนำท่านเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่สนามบินจังหวัดอุดรราชธานี เอ้ย อุดรธานีค่ะ เราะใช้เวลาเดินทงประมาณหนึ่งชั่วโมงค่ะ ก่อนออกเดินทางกรุณาปรับพนักเก้าอี้ให้ตรง พับโต๊ะหน้าที่นั่ง เปิดม่านบังแสงด้านข้าง และเพื่อความปลอดภัย กรุณารัดเข็มขัดที่นั่งของท่านให้เรียบร้อยด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ"

"ขอโทษนะคะ รบกวนปรับพนักเก้าอี้ให้ตรง และพับโต๊ะหน้าที่นั่งด้วยค่ะ เครื่องกำลังจะออกแล้วค่ะ" สาวแอร์คนเดิมบอกผู้โดยสารพร้อมแสยะยิ้มด้วยความเป็นมิตร
"จะออกก็ออกไปสิคะ พี่จะนอนเอนหลังซักหน่อย" สาวอีสานชักมีน้ำโห "รึจะเอา"
"อ่ะอีด-ก กรูบอกดีๆไม่ทำตาม เดี๋ยวปั้ด..."
"เดี๋ยวอะไร อีนี่ ก็กูจะนอนเอนหลัง จะทำไม"

เหตุผลก็คือ ในช่วงเครื่องบินขึ้นและลงเป็นช่วงที่มความสำคัญมากที่สุดในการบิน อุติเหตุมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งหากมีความผิดพลาดเกี่ยวกับเครื่อยนต์ของเครื่องบิน จากการสำรวจ(ของใครก็ไม่รู้พบว่า ช่วงเครื่องขึ้นจะมีอุติเหตุบ่อยกว่าเครื่องลง) มีรายงานว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดข้อผิดพลาดของเครื่องยนต์ในขณะเครื่องบินขึ้น ทำให้ส่วนหน้าของเครื่องบินดิ่งลงพื้นแทนที่จะเชิดขึ้นฟ้า เป็นเหตุให้ผู้โดยสารตายทั้งลำค่ะ ฉะนั้นการเตรียมตัวอพยพผู้โดยสาร หรือที่เรียกกันว่า evacuation preparation จึงเป็นการเตรียมพร้อมในห้องโดยสารในขณะเครื่องขึ้นและลง เผื่อเกิดเหตุกาณ์ฉุกเฉินค่ะ คิดดูสิคะ ถ้าคนที่นั่งหน้าปรับเอนเก้าอี้ คนที่นั่งด้านหลังจะลุกวิ่งไปทางออกทันไหมล่ะคะ คงนั่งตายอยู่อย่างนั้น หรือถ้าคนนั่งเปิดโต๊ะหน้าที่นั่ง เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เกิดตกใจเก็บโต๊ะไม่ทันวิ่ง ก็ตายค่ะ ตายแหงมๆ

"ถ้าไม่เก็บโต๊ะและปรับเก้าอีตรง กูจะโชว์หีละนะ" แอร์สาวขี้เงี่ยนท้า
"เออๆ เก็บก็เก็บ สัดหมา หน้าเหี้ย กูไม่อยากดูของมึงหอก ของกูหอมกว่า"
"แล้วหน้าต่างน่ะเปิดด้วย ทำเป็นกลัวโดนแดด อีขี้ครอก"
"เปิดทำไม ไหนบอกเหตุผลมาให้ฟังซิ" สาวอุดรเอาการใช้เหตุผลสู้
"ก็ถ้ามึงไม่เปิด เผื่อเกิดไฟหม้เครื่องระเบิด ปีกหัก ล้อหลุด มึงจะเห็นไหมล่ะ ถ้าเห็นก็จะได้บอกกัปตันและหนีกันทัน กัปตันไม่มีตาหลังนะโว้ย แล้วเครื่องบินก็ไม่ใช่ ฮอนด้าคลิ้ก จะได้มีกระจกข้างเอาไว้ดู้ข้างๆ มึงนี่โง่นัก" สาวแอร์เถียงลูกกระเดือกโผล่

จบค่ะ

คุณเคยสงสัยมั้ยคะว่า...

เช้าวันหนึ่ง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อากาศภายนอกแจ่มใส หลังจากเดินช้อปปิ้งที่ duty free จนชุ่มปอด( ไม่รู้มันจะสร้างทำไมให้ใหญ่โต ไอ้...ป้ายโฆษณาใหญ่เป็นสิบเท่าของป้ายทางไปห้องน้ำ) สาวไทยนางหนึ่งเช็คอินที่ประตูทางออกเครื่องเรียบร้อยแล้ว และกำลังลากกระเป๋าแซมโซไนท์(ปลอม)ใบเก๋พร้อมด้วยบอร์ดดิ้งพาสเข้าสู่ประตูงวงที่ยื่นเข้าไปหาตัวเครื่องบิน
ขณะที่พุ่งตรงไปหาที่นั่งอย่างสบายใจ เก็บสัมภาระไว้ในที่เก็บของเหนือศรีษะเรีบยร้อย สาวเจ้าก็กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือ โนเกีย(รุ่นเอ็นเหี้ยอะไรเนี่ยแหละ)ออกมาโทรเพื่อบอกลาสามีว่ากำลังจะกลับไปเยี่ยมแม่ที่อุดร
"ขอโทษนะคะ ขออนุญาตผู้โดสารค่ะ กรุณาปิดโทรศัพท์มือถือด้วยนะคะ" สาวแอร์บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงขอร้อง
"ใช้ไม่ได้เหรอ เครื่องก็ยังไม่ได้ไปไหนหนิ อะไรกัน" สาวอุดรมองค้อนแล้วคิด "เอ้ะอีนี่กูจะโทรหาริชาร์ดซะหน่อย"
"ไม่ได้ค่ะ ถ้ายังงัยก็ขออนุญาตปิดเครื่องเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ" แอร์สาวบอกพร้อมยืนไซโคให้ชะนีที่นั่งอยู่ปิดเครื่องโดยเร็ว
สาวเดินทางไม่ฟังเสียง พอโทรติดก็คุยหน้าตาเฉย " hello darling! yet yet me go to my mom at Udon...... Yet yet me come back 3 days...... U wait me airport ok?.... me go now, this airline shit! me no like. ok? bye"

เหตุผลก็คือ เราไม่สามารใช้เครื่องมืออุปกณ์สื่อสารขณะที่เข้าใกล้ตัวเคื่องบินได้นั้น เพราะว่าด้านล่างของลานจอดเครื่องบินในชั้นดินที่มองไม่เห็น มันคือท่อน้ำมันค่ะ ท่อใหญ่มากค่ะ เพื่อใช้สูบขึ้นเครื่องเป็นเชื้อเพลิง เครื่องแต่ละเครื่องเติมน้ำมันทีละเป็นพันลิตร มีรายงานจากองค์กรอะไรไม่รู้ กรูจำไม่ได้ บอกว่าการใช้อุปกรณ์สื่อสารอาจส่งผลต่อระบบควบคุมน้ำมันหรือระบบเผาไหม้ค่ะ ทุกท่านคงอยากไปถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ คงไม่มีใครอยากเป็นเหยื่อของน้ำมันระเบิดตายคาเครื่องใช่มั้ยเคอะ

สาวแอร์คิด "ปิดเร็วๆสิอีสัด กูยังไม่อยากตายกับมึงนะ กูยังไม่มีผัวเลย!!!"

โปรดติดตามตอนต่อไป...